๘๘

๏ ฝ่ายเกียงจูแหยอยู่ ณ ค่าย ให้หาขุนนางมาพร้อมปรึกษาว่า เมืองเสงติก๋วนเป็นด่านน้อยเท่านี้ก็ยังไม่ตีแตกได้ กลับเสียทหารเป็นอันมาก การครั้งนี้ผู้ใดจะเห็นประการใดบ้าง ขุนนางทั้งปวงยังปรึกษากันอยู่ นายประตูเข้ามาคำนับแล้วว่า กีหลิวสุนซึ่งเป็นครูโทเฮงสุน ให้ศิษย์ถือหนังสือมาถึงเกียงจูแหย เกียงจูแหยจึงสั่งให้พาตัวผู้ถือหนังสือเข้ามา ผู้ถือหนังสือคำนับแล้วส่งหนังสือให้เกียงจูแหย เกียงจูแหยฉีกผนึกออกอ่านดูเป็นใจความว่า โทเฮงสุนซึ่งตายนั้นก็เป็นกรรมสิ้นอายุสุดที่จะช่วย เราได้ให้ตราอันมีฤทธิ์มากับเอียวเจี้ยนดวงหนึ่ง แล้วได้บอกอุบายมาทุกประการ จงให้เอียวเจี้ยนไปที่ด่านอึ้งฮอเบ๋งจี๋นคอยเตียวแก๋เถิด การที่จะต่อสู้สืบไปนั้นท่านอย่าวิตกเลย เกียงจูแหยยินดีนัก จึงสั่งให้จัดทหารเป็นสี่กอง เกณฑ์โลเฉียกับหลุยจินจู๊ให้ไปซุ่มอยู่ริมเมือง ทหารสามกองนั้นให้เอียวหยิมกองหนึ่ง อุยฮอกองหนึ่ง ตั้งรายไปตามระยะทาง ให้เอียวเจี้ยนนั้นไปคอยสกัดที่ด่านอึ่งฮอเบ๋งจี๋น เกียงจูแหยจะยกไปเป็นกองล่อเตียวแก๋ ครั้นปรึกษากันแล้วจึงทูลพระเจ้าบูอ๋อง พระเจ้าบูอ๋องก็เห็นชอบแล้วตรัสว่า เราจะไปด้วยอาจารย์เกียงจูแหย แล้วต่างกองก็ยกไปตามคำสั่ง พระเจ้าบูอ๋องกับเกียงจูแหยก็ขึ้นม้ายกทหารมาถึงหน้าเมือง แล้วร้องชวนให้เตียวแก๋ออกมารบ เตียวแก๋รู้ก็ขึ้นดูบนกำแพงเมือง เห็นกีฮวดกับเกียงจูแหยจึงร้องว่า ท่านเห็นว่าเราเป็นแต่เมืองด่านมีทหารน้อยจะไม่ต่อสู้ได้หรือ แล้วก็กลับมาบอกภรรยาให้ขึ้นบนป้อมตรวจตราทหารรักษาหน้าที่เชิงเทิน แต่ตัวนั้นจะออกไปต่อสู้กับเกียงจูแหย ครั้นส่งการเสร็จแล้ว ก็ถือง้าวขี่ม้าพาทหารออกไป เกียงจูแหยก็ทำอุบายพาทหารหนีไปทางตะวันตก เตียวแก๋เข้าใจว่าเกียงจูแหยกลัว ก็ขับม้าไล่ติดตาม โลเฉียกับหลุยจินจู๊ซึ่งซุ่มอยู่ที่ริมเมือง เห็นเตียวแก๋ออกไล่เกียงจูแหยดังสัญญา จึงสำแดงฤทธิ์เป็นสามศีรษะหกมือเหยียบจักรลมจักรไฟ ให้ทหารจุดประทัดใหญ่น้อยระดมขึ้น แล้วก็กรูกันเข้าเมือง ไล่ฆ่าฟันทหารซึ่งรักษาหน้าที่เชิงเทินล้มตายเป็นอันมาก นางโกลั่นเองเห็นโลเฉียรุกไล่ฆ่าฟันทหารเข้ามามีความโกรธนัก ออกต่อสู้แล้วจะเอาเข็มทิ้งก็ไม่ทัน โลเฉียเอากำไลทิ้งถูกล้มลงตายอยู่กับที่วิญญาณนั้นก็ไปอยู่ห้องสินไต้

๏ ฝ่ายเตียวแก๋ไล่เกียงจูแหยไป ไกลทางสองร้อยห้าสิบเส้น ได้ยินเสียงประทัดแลกลองอื้ออึงขึ้นในเมืองก็ตกใจชักม้ากลับมา เกียงจูแหยจึงร้องว่าเมืองเอ็งแตกแล้ว จะไม่ยอมเข้าด้วยเรา จะหนีไปไหนเล่า เตียวแก๋ก็รีบขับม้ามาถึงเมือง พบโลเฉีย โลเฉียจึงร้องว่า เหตุไรจึงไม่ลงจากม้ามาคำนับเราจะต่อสู้กับเราหรือ เตียวแก๋ก็ขัดใจเข้ารบได้สี่เพลง โลเฉียจึงแปลงเป็นมังกรเก้าตัว พ่นพิษเป็นแสงเพลิงออกมา เตียวแก๋ตกใจกลัวลงจากม้าวิ่งไป แล้วคิดถึงภรรยาว่าจะเป็นตายประการใดหาได้รู้ พอมาถึงประตูเมือง พอหลุยจินจู๊สกัดอยู่ก็จนใจจึงคิดว่า จงดำดินไปหาอวนหองเถิด แล้วอ่านมนต์ดำดินไป โลเฉียครั้นได้เมืองแล้วก็ให้ม้าใช้ไปเชิญเสด็จพระเจ้าบูอ๋องกับเกียงจูแหยเข้ามาเมือง พระเจ้าบูอ๋องเสด็จมาถึงเมืองแล้ว เห็นชาวเมืองต้องอาวุธเจ็บปวดล้มตายเกลื่อนกลาดไป จึงสั่งให้เอาศพทั้งปวงไปฝังเสีย แล้วให้เก็บเครื่องสาตราวุธใหญ่น้อยทำบัญชีรวบรวมไว้ เอียวหยิมอยู่กลางทาง ยกมือซึ่งมีจักขุขึ้น ส่องดูก็เห็นเตียวแก๋มาใต้ดินเร็วดังลม จึงชี้บอกอุยฮอแล้วชวนกันไล่ติดตามก้าวสกัดไปจนถึงด่านอึ่งฮอเบ๋งจิ๋นที่เอียวเจี้ยนอยู่ เอียวเจี้ยนรู้ว่าเตียวแก๋ดำดินมา จึงเอายันต์ที่อาจารย์กีหลิวสุนให้มาเผาไฟทิ้งลงก็บันดาลแผ่นดินที่นั้นแข็งดุจดังเหล็ก เตียวแก๋ดั้นไปมิได้จะกลับไป เอียวหยิมเห็นจึงชี้บอกอุยฮอว่าเตียวแก๋อยู่ตรงนี้ อุยฮอจึงเอากระบี่แทงดินลงไปถูกเตียวแก๋ตาย วิญญาณนั้นก็ไปอยู่ห้องสินไต้ แล้วทหารทั้งสามก็กลับมาแจ้งความแก่เกียงจูแหย เกียงจูแหยให้หยุดพักทหารอยู่ที่เมืองเสงติก๋วนสามวัน คิดทำเกราะเหล็กให้ทหารใส่ แล้วยกกองทัพมาด่านอึ่งฮอเบ๋งจิ๋นเป็นที่ข้ามแม่น้ำ จึงจ้างเรือชาวบ้านมาให้ข้ามส่ง คิดราคาให้ลำละห้าสลึงจนสิ้นคนทั้งกองทัพ หญิงชายทั้งปวงก็มีความยินดีว่า ท่านมาให้ข้าพเจ้าได้ลาภทั่วกันดุจฝนตก แล้วแต่งเรือเป็นรูปมังกร ประดับด้วยเครื่องอันงามมีกลองประโคม มาถวายให้พระเจ้าบูอ๋องทรงขี่ข้ามกับเกียงจูแหย ครั้นมาถึงกลางน้ำให้บังเกิดพายุคลื่นกระทบเรือกลิ้งโคลงไป พระเจ้าบูอ๋องก็ตกพระทัย ตรัสบอกเกียงจูแหย เกียงจูแหยจึงทูลว่าที่ตำบลนี้เคยเป็นอยู่แต่ก่อน เวลาเย็นน้ำลงไหลเชี่ยว ครั้นเวลาเช้าลมพัดกล้า น้ำขึ้นจึงบังเกิดคลื่นใหญ่อย่าตกพระทัยเลย แล้วมีปลาตัวหนึ่งใหญ่สีขาวโดดเข้าในเรือ พระเจ้าบูอ๋องเห็นประหลาดจึงตรัสถามว่า จะเป็นนิมิตเหตุประการใด แล้วจะให้จับปลานั้นปล่อยเสีย เกียงจูแหยจึงทูลว่าปลาเข้าในเรืออย่างนี้ก็เป็นลาภของพระองค์ที่จะได้ราชสมบัติในเมืองจิวโก๋ ปลานี้เทวดาบันดาลให้ จะปล่อยเสียนั้นไม่ควร ขอให้เอาไว้ทำเครื่องเสวย ด้วยปลานี้ถึงที่ตายดุจดังพระเจ้าติวอ๋องอันจะสิ้นบุญในครั้งนี้ แล้วเกียงจูแหยก็ให้พ่อครัวเอาปลานั้นไปทำเครื่องถวาย พระเจ้าบูอ๋องเสวยที่เหลือนั้นแจกให้ทหารทั้งปวงกินแล้ว ลมแลคลื่นก็สงบไป เรือที่นั่งแลเรือทหารทั้งปวงมาถึงท่าที่ด่านพร้อมกัน พวกน่ำเปกเฮาปักเปกเฮา บรรดาอยู่ที่นั้นรู้ว่าพระเจ้าบูอ๋องแลเกียงจูแหยมาถึง ก็พากันลงมาถวายบังคมพระเจ้าบูอ๋อง คำนับเกียงจูแหย เกียงจูแหยจึงขึ้นไปเกณฑ์ให้ทหารเร่งทำค่ายแลตำหนัก แล้วประกาศสั่งทหารทั้งปวงว่า บัดนี้เรายกมาใกล้เมืองหลวงแล้ว ราชการศึกสิ่งใดให้บอกแก่เราก่อน แม้นควรจะทูลพระเจ้าบูอ่องเราจึงจะทูล ด้วยพระเจ้าบูอ่องทรงพระเยาว์แล้วใจบุญจะเสียราชการไป ถ้าใครมิฟังเราสั่งจะเอาโทษถึงตาย แล้วให้โลเฉีย เอียวเจี้ยน กับพวกน่ำเปกเฮาปักเปกเฮา คุมเกวียนลงไปรับเสด็จแห่พระเจ้าบูอ๋องขึ้นมา

๏ ครั้นพระเจ้าบูอ๋องเสด็จถึงตำหนักแล้ว เกียงจูแหยก็พาทหารใหญ่น้อยมาถวายบังคมเฝ้าพร้อมกัน พระเจ้าบูอ๋องจึงตรัสว่าเราเป็นเด็กยังหารู้การรอบคอบไม่ อาจารย์เกียงจูแหยเหมือนบิดาเรา แลราชการเบ็ดเสร็จทั้งปวงเราไว้ธุระสิทธิ์ขาดแก่ท่านอาจารย์​ แล้วให้ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยคิดอ่านปรึกษากับท่านเถิด แล้วสั่งให้แต่งโต๊ะแลสุรามาเลี้ยงเหล่าขุนนางแลทหารทั้งปวง

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ